Last updated: 7 ม.ค. 2566 | 1250 จำนวนผู้เข้าชม |
หลายคนที่ขับรถเกียร์ออโตอยู่แล้วคงเข้าใจกันอยู่แล้ว ว่าสัญลักษณ์รที่เป็นตัวอักษรและป็นตัวเลขต่างๆ มีความหมายอย่างไร แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดขับรถ หรือคนขับรถเป็นอยู่แล้วแต่เพิ่งมาใช้รถเกียร์ออโต อาจจะยังสับสนและจดจำชุดตัวอักษรเหล่านี้ไม่ได้
มือใหม่ที่หัดขับรถเกียร์ออโต แล้วยังจำตำแหน่งหรือไม่เข้าใจความหมาย มาลองทำความเข้าใจไปพร้อมกันเลยครับ
P ย่อมาจาก Parking ไว้ใช้เมื่อจอดรถในที่จอดรถ ในที่กำหนดให้จอด หรือไว้เวลาจอดในบริเวณที่ลาดชัน โดยต้องการให้ล้อรถถูกล็อก ไม่ให้เคลื่อนที่ หรือถูกเข็นได้ โดยเมื่อไหร่ที่เราใช้เกียร์ P นั้น ต้องมั่นใจว่ารถจอดนิ่งสนิทแล้วและไม่ขวางทางรถคันอื่น หากจอดในทางลาดชัน ให้ดึงเบรกมือเสริมไว้ด้วย
R ย่อมาจาก Reverse เป็นเกียร์ถอยหลัง เมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว รถจะถอยหลังได้เองอย่างช้าๆ โดยที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง และไม่แนะนำให้เหยียบเวลาถอยหลัง จะทำให้รถถอยอย่างเร็ว เสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ จึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากเมื่อใช้งาน
N ย่อมาจาก Neutral เป็นเกียร์ว่าง ไว้ใช้จอดชั่วคราว เช่น จอดติดไฟแดง หรือจอดชะลอกรณีมีการจราจรติดขัด มีรถคันหน้าขวางทางอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถใช้จอดไว้ในที่จอดรถตามห้าง หรือสถานที่ให้จอดในกรณีที่จอดรถเต็มได้ โดยล้อของรถจะไม่ถูกล็อก สามารถเข็นได้ แต่ระวังอย่างลืมปลดเบรกมือ หากต้องจอดรถซ้อนกับรถคันอื่น
D ย่อมาจาก Drive แปลตรงตัวว่าการขับขี่ เป็นเกียร์สำหรับการขับขี่ปกติ ใช้สำหรับเดินหน้ารถ เมื่อเกียร์อยู่ตำแหน่ง D รถจะเริ่มออกตัวแล่นไปเองช้าๆ เมื่อเหยียบคันเร่ง เกียร์จะเปลี่ยนให้เองอัตโนมัติ เป็นเกียร์ที่ใช้บ่อยที่สุด เน้นวิ่งทางราบเป็นหลัก
D3 ขับเนิบนาบ ขึ้นสะพาน ยังอยู่กันต่อกับเกียร์เดินหน้า สำหรับ D3 เป็นเกียร์ที่เราจะใช้เมื่อต้องการเร่งเครื่องแซง โดยเมื่อตำแหน่งเกียร์อยู่ที่ D3 เครื่องยนต์ของรถจะมีกำลังแรงขึ้นมากพอที่จะขับแซงคันหน้าไปได้ หรืออาจใช้เมื่อขับขึ้นทางชันเล็กน้อย เช่น ขับขึ้นสะพาน โดยจะจำกัดรอบวิ่งให้อยู่แค่เกียร์ 1-3 อัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกียร์เปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างเกียร์ 3 และเกียร์ 4 รอบวิ่งจะต่ำลงแต่แรงม้าเท่าเดิม
D2 เมื่อขึ้นเขา ตำแหน่งของเกียร์ D2 โดยมากแล้ว จะใช้เมื่อขับรถขึ้น-ลงเนินที่ค่อนข้างชัน เช่น ภูเขา หรือทางคดเคี้ยว หรือขับรถขึ้นลงในที่จอดตามห้างหรืออาคารสูง ๆ โดยรถจะเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่เกียร์ 1-2 เพื่อปรับให้เหมาะกับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่ไม่สูงมากและใช้ความเร็วได้พอสมควร
L ย่อมาจาก Low หรือเกียร์ 1 ที่จะใช้ในการขับขี่ขึ้นลงเนินที่สูงชันมากๆ และต้องใช้ความเร็วต่ำมาก โดยเฉพาะในตอนลงเขา เกียร์ L จะเป็นการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก เพื่อลดการเหยียบเบรกของเรา ช่วยยืดอายุผ้าเบรกให้ยาวนานขึ้น ซึ่งตำแหน่งเกียร์ที่ L จะไม่มีการปรับอัตราทดให้เกียร์ให้ เหมาะกับการขับช้าๆ และไม่แนะนำให้เปลี่ยนเกียร์ L กะทันหันทันทีที่รถขับมาเร็วๆ
เพิ่มเติม เกียร์ S หรือ B
ในรถรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบัน มีเกียร์ S ที่มาเพิ่มเติม โดยเกียร์ S ย่อมาจาก Sport ที่จะช่วยให้เปลี่ยนอัตราทดเกียร์ช้าลง เครื่องยนต์ลากรอบมากกว่าปกติ รถจะมีกำลังมากขึ้นในยามจำเป็น ไว้ใช้สำหรับเร่งแซง ส่วน B ย่อมาจาก Break ใช้ขับรถขึ้นลงทางลาดชัน ทำงานเหมือนกับเกียร์ L